วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

Education Volunteer Camp Of Srikuk Temple School

ค่ายชมรมของนิสิตครู ที่ โรงเรียนวัดสีกุก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
วันที่ 22-23 มกราคม 2554


โรงเรียนวัดสีกุก


    เป็นค่ายอาสาพัฒนาโรงเรียนให้น้องๆ นักเรียนโรงเรียนวัดศรีกุกมีจำนวนนักเรียนไม่ถึงร้อย ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำ โรงเรียนแห่งนี้เคยถูกน้ำท่วมมาก่อน ทำให้อุปกรณ์การเรียน และอาคารเรียนได้รับความเสียหาย  ค่ายนี้ได้รวมอาสาสมัครเพื่อมาพัฒนาโรงเรียน จัดทำมาเเล้วเป็นครั้งที่ 3 มันเป็นการตัดสินใจครั้งแรกของการออกค่ายอาสาพัฒนาของผม เป็นค่ายที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียวเพียงแค่นำแรงกายแรงใจเพื่อที่จะไปพัฒนาโรงเรียนของน้องๆให้ดีขึ้นเท่านั้น โดยค่ายนี้เป็นคำแนะนำจากวิชา ED111 อาจารย์กัมปนาท บริบูรณ์ จิตสำนึกและจรรยาบรรณวิชาชีพครู  เป็นวิชาที่เสริมสร้างจิตสำนึกและจรรยาบรรณของครู ซึ่งทำให้นิสิตทุกคนต่างก็ต้องตระหนัก เพราะในอนาคต เราจะต้องทำงานเพื่อสังคมและออกค่ายพัฒนาโรงเรียนอยู่เสมอ ผมก็เลยคิดว่าเป็นประสบการณ์ที่เราสามารถเก็บไว้และถ่ายทอดได้ เพราะเพียงแค่ปีหนึ่ง ประสบการณ์ที่ผ่านมาก็เยอะ เเล้วเมื่อเราจบไปประสบการณ์เหล่านี้จะสามารถนำไปพัฒนาตนเองและพัฒนาผู้อื่นและสังคมได้เพราะเคยผ่านจุดนี้มาก่อน
           
         วันแรกเราออกเดินทางจาก มศว องครักษ์ ประมาณหกโมงเช้าเพื่อไปรอรถที่มาจาก มศว ประสานมิตร  ที่ฟิวเจอร์ ถึงโรงเรียนวัดสีกุกประมาณ สิบโมงเดินประมาณชั่วโมงครึ่ง ไม่ไกลมาก หลังจากนั้นเราก็พักผ่อนสักครู่ ชมรมนิสิตครูก็ประชุมกัน แบ่งงานกันเสร็จ ผมมีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนของห้องสมุดปรับเปลี่ยนบรรยากาศของห้องสมุด และทาสีใหม่ทั้งหมด




เอาหนังสือออกเพื่อจัดให้เป็นหมวดหมู่
ยกชั้นวางหนังสือลงมาเพื่อทาสีใหม่





จัดทำบอร์ดใหม่


ช่วยกันแก้ปัญหาระหว่างทำงาน



 เราทำงานตั้งแต่สิบโมงกว่าจนถึงประมาณสี่ทุ่ม อาบน้ำเข้านอนภายในลานวัดแต่ก่อนเข้านอนเรามีกิจกรรมเล็กๆเช่นเล่นหมากรุก ดูหนัง คุยกัน แต่ก็มีบางส่วนนั่งทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จทันภายในพรุ่งนี้เพราะเรามีเวลาอีกแค่คืนเดียวกับอีกครึ่งวัน เมื่อถึงเที่ยงของอีกวันทุกอย่างจะต้องเสร็จเรียบร้อยเเล้ว



ทุกคนเข้านอนอีกบางส่วนยังนั่งเล่น คุยกัน
หรือทำงาน

















ภาพก่อนทำ

    
ภาพหลังทำเสร็จเรียบร้อยเเล้ว


ชมรมนิสิตครู มศว



    ช่วงเวลาดีๆอีกหนึ่งช่วงที่ทุกคนต่างมีความภาคภูมิใจที่ได้ทำงานร่วมกัน รู้จักกัน ในค่ายอาสาครั้งนี้ทำให้งานสำเร็จรุร่วงไปด้วยดีด้วยแรงกายแรงใจของเหล่า      ชมรมนิสิตครู มศว 



วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554

Memory of ''Huai Nam Dang & Pai''

                                         
                                            Memory of ''Huai Nam Dang & Pai''



ภาพ Panorama นี้ถ่ายเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 เวลา 8.30 น @ทะเลหมอกห้วยน้ำดังโดยกล้อง NIKON D90 ไม่มีการตกแต่งแต่อย่างใด 
 
 
 
   เป็นภาพที่ผมประทับใจมากเพราะว่าห้วยน้ำดัง ขึ้นชื่อทะเลหมอกที่สวยมากแห่งหนึ่ง ผมไปกับเพื่อนสามคนโดยกระทันหัน ผมกลับบ้านปีใหม่คืนวันที่ 27 ธันวาคม 2553 เพื่อนโทรมาชวนว่าไปเที่ยวปายกันไหมก่อนไปถึงปายแวะนอนห้วยน้ำดังคืนหนึ่ง ผมอยู่บนรถทัวร์ คิดอยู่พักตัดสินใจโทรขออนุญาติแม่ แม่อนุญาติแต่โดนว่านิดหน่อยแต่ก็ให้ไป เมื่อก่อนเป็นคนไม่ค่อยชอบไปไหนแต่พอเรียนมหาวิทยาลัยเเล้ว บวกกับเมเจอร์ที่เรียนต้องมีเรียนถ่ายภาพ ทำให้เป็นคนที่รักการถ่ายรูปมากและชอบท่องเที่ยวเพื่อเก็บภาพ และความทรงจำ นอนอยู่บนรถทัวร์ เมื่อรู้ว่าตัวเองจะได้มีโอกาสไปเที่ยวปายเเล้ว ก็อดคิดไม่ไว้ นอนไม่หลับ จนถึงบ้านที่ลำปาง ประมาณตีสี่ครึ่ง และนอนพักที่บ้านสักครู่ถึง แปดโมงเช้า ก็ให้แม่มาส่งที่ขนส่ง เพื่อที่จะไปเชียงใหม่ ไปต่อรถตู้ไปปาย ผมซื้อตั๋วรถไปเชียงใหม่ ได้ประมาณ สิบเอ็ดโมง และถึงเชียงใหม่ประมาณเที่ยงครึ่งเกือบบ่าย และรอเพื่อนที่ยู่เชียงใหม่ ที่มาเรียนที่นั้น ไปปายด้วยกัน
พวกเราเกือบไม่ได้รถไปปายเพราะนักท่องเที่ยวไปกันเยอะมาก ได้ตั๋วรถตู้ประมาณบ่ายสองครึ่ง ก่อนออกเดินทาง พวกเราก็กินยาแก้เมาก่อนเป็นอันดับแรกเพราะ ทางไปปาย ชันเเละโค้งเยอะมาก พวกเราตื่นอีกทีถึงจุดพักครึ่งทางก่อนจะถึงปาย และลงพักได้ก็คุยกันก็เลือบไปเห็นป้ายอีกกี่กิโลเมตรถึงห้วยน้ำดังทะเลหมอก พวกเราตัดสินใจกันว่าจะไปและพักที่นั้นคืนหนึ่งเมื่อรถตู้ถึงหน้าอุทยานห้วยน้ำดัง พวกเราก็ลงเเละมีรถของคนที่นั้น มาถามว่าจะไปไหม? ตกลงราคาค่ารถกันได้ พวกเราก็ตัดสินใจนั่งรถขึ้นไปอีกประมาณห้าถึงสิบกิโลได้ บรรยากาศเริ่มหนาวเเล้วประมาณสี่ถึงห้าโมง บรรยากาศธรรมชาติมาก
    
         ถึง ห้วยน้ำดัง ก็หกโมงพระอาทิตย์กำลังตกดินพอดี พวกเราก็รีบเช่าผ้าห่ม และเครื่องนอนแต่ผมเอาเต็นท์ไปเอง เสียค่าใช้จ่ายประมาณสองร้อย หลังจากนั้นพวกเราก็เดินไปเลือกสถานที่จะนอนกันและกางเต็นท์นอนกันคืนนี้  เเล้วเราก็ลงมือช่วยกันกางเต็นท์ ข้างๆเต็นท์ก็จะมีนักเที่ยวที่กางเสร็จเเล้วก่อนหน้านี้มองเรา เห็นพวกเรากางเต็นท์ไม่ค่อยเป็นเขาเลยเข้ามาช่วยกันกางเต็นท์พวกเราก็ได้คุยกับนักท่องเที่ยวคนนั้นไปว่าไปเที่ยวที่ไหนมาบ้างจนลืมชื่อ และเราก็เข้านอนเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง ขณะที่นอนรู้สึกว่าหนาวที่สุดตั้งแต่เกิดมาเย็นไปทั้งตัวแขน ขา เท้า นอนแทบไม่ได้ เสื้อใส่ประมาณสี่ชั้น ผ้าห่มสอง แต่หนาวมากเต็นท์น้ำค้างตกไหล หยด เหมือนฝนตก แต่ก็ทนหนาวนอนได้
     
         จนกระทั่งตีห้าเพื่อนก็ปลุกกันไป ดูพระอาทิตย์ขึ้น ไฮไลท์ของห้วยน้ำดัง ผมก็ถือกล้อง ขาตั้งกล้อง ไปที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะหมอกเพื่อที่จะเก็บภาพถ่าย แต่ตีห้ายังไม่เห็นยังมืดอยู่ไม่รู้ว่าคือทะเลหมอกจนกระทั่งประมาณหกโมง พระอาทิตย์เริ่มขึ้น เห็นรางๆว่านี้คือทะเลหมอกหลังจากนั้นก็ชัดขึ้นคนก็เริ่มเยอะ และแสงจากพระอาทิตย์ก็เริ่มสาดส่องลงมากระทบกับลอยเมฆ จึงได้รู้ว่าทะเลหมอก เหมือนดั่งเราอยู่เหนือฟ้าาหรือบนสวรรค์ และผมก็ได้ถ่าย Panorama เพื่อให้เห็นทั้งหมดตามที่เรามองเห็น จนเป็นภาพที่อยู่ข้างบนนี้ มันสวยมากเป็นครั้งแรกที่ได้ไปชมด้วยตาตัวเอง ปกติเคยเห็นแต่ในทีวี ความรู้สึกในตอนนั้นรู้สึกมีความสุขและประทับใจมาก
   


         หลังจากนั้นพวกเราก็ เก็บสัมภาระเตรียมพร้อมที่จะไปปาย โดยไม่รู้ว่าเราจะเดินทางไปยังไงพวกเราคิดว่าจะขอติดรถนักท่องเที่ยวไป เราก็เดินไปย่องๆมองๆ อยู่พักที่ลานจอดรถห้วยน้ำดังแต่พวกเราก็ไม่กล้าที่จะขอติดรถไป  เกี่ยงกันเพื่อที่จะเข้าไปถาม และ เพื่อนผมคนหนึ่งก็เข้าไปถามรถกระบะของชายวัยกลางคน แต่เขาก็บอกว่ารถเต็มเเล้วกระบะก็ต้องวางของ แต่พวกเราเห็น มีพื้นที่พอที่จะให้พวกเราสามคนไปได้ พวกเราเริ่มรู้สึกละอายที่จะเข้าไปขอติดรถไปด้วย เราก็นั่งรอ มองรถไปเรื่อยๆ ไม่กล้าสักที เเละเเล้วก็มีน้าคนหนึ่งมาพร้อมกับครอบครัวมีเด็กสองคนอายุประมาณ สิบสามปีได้ ให้ผมเข้าไปถ่ายรูปที่ป้ายห้วยน้ำดัง ผมถ่ายเสร็จเลยตัดสินใจขอติดรถไปด้วย เขาไม่ปฎิเสธ บอกว่ามีพื้นที่ด้านหลังรถว่างอยู่ แต่เป็นพื้นที่ช่องสี่เหลี่ยมประมาณกล่องสี่เหลี่ยมวางติดกัน ผมก็ให้เพื่อนผมนั่งตรงช่องว่างๆสองคนและผมก็นั่งบนของอีกทีหนึ่ง นึกสภาพตอนลงจากห้วยน้ำดัง และขึ้นไปปาย ลุงบอกว่าเปปเดียวอดทนนะเดียวก็ถึง หลังจากนั้นลุงก็ขับไปผมรู้สึกเวียนศรีษะมากกเพราะทางโค้งเยอะมากเพื่อนผมอีกคน อ้วก ผมจะอ้วกตามแต่ก็อดทนจนกระทั่งถึงปายพวกเราดีใจมากที่ถึง และลุงเขาบอกว่าต้องแยกกันเเล้วนะ ลุงจะไปอีกที่ซึ่งขึ้นไปอีกผมจำไม่ได้ เเล้วพวกเราก็ลงจากรถขอบคุณลุงเขา ก็เห็นบ้านพักรีสอร์ทอยู่ พวกเราเหนื่อยมากบวกกับเพื่อนผมไม่ไหวเเล้วจากการนั่งรถ
เลยตัดสินใจที่จะเช่ารีสอร์ทห้องหนึ่ง คืนละเจ็ดร้อยไม่ค่อยกว้างมากพออยู่ได้ ถึงประมาณสิบโมงเช้า พวกเราก็นอนพักได้สักแปปหนึ่ง ก็ตัดสินใจเช่ามอเตอร์ไซต์ เพื่อที่จะขับไปชมเมือง  
''ปาย''  ผมเป็นคนขับเพื่อนซ้อนอีกสองคน ไป บ้านดิน เป็นอันดับแรก เป็นที่ที่ นักท่องเที่ยวต่างก็ชอบไปเก็บฝากถ้าไม่ไปบ้านดิน ถือว่า ไปถึงปาย ภาพข้างล่างนี้คือบ้านดิน



ภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 เวลา 15.36 น @ บ้านดินปาย โดยกล้อง NIKON D90 ไม่มีการตกแต่งแต่อย่างใด 



                  หลังจากนั้นนก็ไปถ่ายรูปกันที่ Coffe in love! เป็นสถานที่ที่ถ่ายทำภาพยนต์ ''Pai In Love'' อีกแห่งหนึ่ง





หลังจากถ่ายเสร็จเราก็กลับที่พักก  ไปพักผ่อนอาบน้ำที่รีสอร์ทก่อนที่จะไปถนนคนเดิน


      เมื่อชาร์ตพลังเสร็จเเล้วก็ไปเดินถนนคนเดินซึ่งคนเยอะมากกพบปะผู้คนจากหลายที่ๆ นักท่องเที่ยวคนไทย ต่างชาติ ทุกคนต่างก็ใส่ชุดกันหนาวกันเหมือนอยู่เมืองนอก ปายเป็นเมืองเล็กๆน่าอยู่ ไม่วุ่นวาย ประทับใจตรงนี้มาก ไปดูรูปกันเลยกับ ถนนคนเดิน ''ปาย''









หลังจากนั้นเราก็ไปร้านมิตรไทยเพื่อซื้อโปสการ์ด ส่งให้เพื่อนๆ บ่งบอกว่าเรามาถึงเเล้ว 555


หลังจากนั้นเราก็ไปซื้อตั๋วรถตู้เพื่อที่จะกลับพรุ่งนี้


ว่างอยู่สามสี่ที่พอดีแต่แปดโมงเช้าเกือบไม่ได้กลับบ้านเเล้วฮ่าๆหลังจากนั้นก็ได้ตั๋วมาคนละร้อยหกสิบกลับรีสอร์ทพักผ่อนตื่นเช้ามา พร้อมรับวันใหม่เตรียมตัวเตรียมใจเก็บสัมภาระพร้อมกับบ้าน



หนาวมากกตอนกลางคืนนอนแทบไม่หลับอยู่ดีเหมือนวันก่อนที่นอนห้วยน้ำดังไม่มีผิด
แต่ประสบการณ์ครั้งนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่ประทับใจมากครั้งหนึ่งที่มาเที่ยวโดยไม่มีผู้ปกครอง
เสียค่าใช้จ่ายประมาณคนละสองพันห้า เหลือตังค์กับบ้านประมาณสองร้อยฮ่าๆ 
ประสบการณ์ครั้งนี้จึงเป็นประสบการณ์ที่บันทึกไว้ในความทรงจำพร้อมกับภาพถ่ายมาตลอด